LUANGTA MAHÃ BUA VCD
The Path Leading to the Outer Space of the Mind
Part One: Dharma that Transcends the World
It is possible that human beings may someday discover an unknown aspect of the universe. But, who will discover that which transcends the universe? The world as we know it is a part of the universe. But Dharma is a natural principle that transcends both world and universe. Dharma has always existed with the world. It cannot be separated from it.
Fortunately, the world produced a virtuous-minded person who was able to discover the quintessential nature of perfect harmony called “Dharma”. The pathway leading to Dharma’s essential nature has three main aspects: abstention from unwholesome action, cultivation of wholesome action, and purification of the mind. People must cultivate their minds in order to walk the path that leads to Dharma. Three factors are necessary for this: Generosity, Moral Virtue, and Meditation. These three practices lay a foundation that allows living beings to cleanse and refine minds defiled by greed, hatred and delusion.
Generosity means self-sacrifice, giving with love and compassion, unselfish behavior, and loving others as you love yourself.
Moral virtue means deliberately refraining from unwholesome acts of body, speech or mind.
Meditation means focusing the mind properly to attain the peace and tranquility of Dharma.
หนึ่งเดียวในจักรวาล มนุษย์อาจค้นได้
แต่สิ่งที่เหนือจักรวาล ใคร…ละจะเป็นผู้ค้นพบ
โลกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
แต่…สิ่งที่อยู่เหนือโลก และจักรวาล คือ ธรรมชาติ
ซึ่งมีอยู่ เป็นอยู่ คู่กับโลกตลอดอนันตกาล
ธรรม ซึ่งเป็นของคู่กันกับโลกย่อมแยกกันไม่ออก
ดังนั้นโลกได้กำเนิดผู้กำเนิดผู้มีบุญบารมีที่จะค้นพบธรรมชาตินี้
โดยอาศัยหลักในการดำเนินคือทางเดิน
ซึ่งมีองค์ประกอบที่ทุกคนจะก้าวไปให้ถึงหลักธรรมชาตินี้
อันได้แก่ ละชั่ว ทำดีโดยอาศัยหนทางที่จะนำพาไปถึงได้
หลักธรรมชาตินี้ต้องอาศัยจิตเป็นผู้นำทาง
โดยมี ทาน ศีล ภาวนา
เป็นทางเดินเพื่อจะปูพื้น ขัดเกลา เปลี่ยนแปลงจิตเดิมของสัตว์โลก
คือ สัตว์ทุกชนิด รวมทั้งมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง
หลักการปฏิบัติเพื่อจะเข้าถึงธรรมชาตินี้คือ ทาน ศีล ภาวนา
ทาน คือ การเสียสละ มีเมตตา ไม่เห็นแก่ตัว ให้รักคนอื่นเสมือนรักตนเอง
ศีล คือ เจตนางดเว้นในการทำชั่วทางกายวาจาใจ
ภาวนา คือ การแสวงหาความสงบทางจิต เพื่อเข้าถึงธรรมชาติ
Part Two: Luangta Mahã Bua’s Biography
Venerable Luangta Mahã Bua was born on August 12, 1913 in the Lohit Dee family of rice farmers living at Baan Taad village, in Udorn Thani Province , located in the arid and impoverished region of Northeast Thailand . He was the second of sixteen children. Luangta was an earnest and sincere person who always kept his word. As a gesture of gratitude to his parents, he ordained as a Buddhist monk at the age of twenty-one. The ordination ceremony took place at Wat Yothãnimit, in Udorn Thani Province on May 12, 1934, when he was given the Pali name Ñãõasampanno.
From the beginning, Luangta felt a deep appreciation for Dharma. As well as diligently practicing meditation, he also formally studied the Buddha’s teaching until he successfully passed the third level of Pãli studies. After that, he turned his attention solely to practicing meditation. At that time, Luang Poo Mun had become famous as a meditation master of the highest caliber, so he entrusted himself to Luang Poo Mun’s tutelage. He strictly followed Luang Poo Mun’s teaching that: “Dharma and Nibbãna are both true. Although the world constantly changes, Nibbãna never changes”.
By virtue of his earnest determination to succeed, Luangta put his life on the line for the sake of Dharma, and never retreated no matter how difficult the struggle became. In the end, his mind succeeded in settling the conflict between the Dharma and the mental defilements in such a way that no doubts remained in his mind. After that, he started spreading the Buddha’s teaching by emphasizing the importance of meditative development. He has kindly been giving assistance to people in the world since 1956.
ตอนที่ 2 : ประวัติพระหลวงตามหาบัว
ภาคอีสานเป็นดินแดนที่แห้งแล้ง ขาดแคลน
แต่ภาคอีสานก็มีสิ่งทดแทน คือ หลวงตามหาบัว
ท่านได้ถือกำเนิดในดินแดนแห่งนี้ในสกุลโลหิตดี
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2456 ณ หมู่บ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
มีพี่น้อง 16 คน ท่านเป็นคนที่สอง ครอบครัวมีอาชีพทำนา
ท่านมีนิสัยพูดจริงทำจริง รักษาคำสัตย์เสมอชีวิต
เมื่ออายุ 21 ปี ท่านได้บวชทดแทนคุณพ่อแม่
โดยได้ฉายาว่า ญาณสัมปัญโน
เมื่อบวชเรียน ท่านได้ซาบซึ้งในพระธรรม
จึงได้ปฏิบัตินั่งสมาธิภาวนาอยู่มิขาด
จนสอบได้เปรียญ 3 ประโยค พร้อมนักธรรมชั้นเอก
จากนั้นได้มุ่งออกปฏิบัติธรรม ในยุคนั้น พระหลวงปู่มั่น
เป็นที่เลืองลือว่าเป็นผู้สอนด้านจิตภาวนา ท่านจึงได้มอบตัวเป็นศิษย์
พระหลวงตาได้ทำตามคำสอนของหลวงปู่มั่นที่ว่า
ธรรมมีจริง นิพพานมีจริง โลกไม่เที่ยง นิพพานเที่ยง
ด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวแม้ว่า…จะลำบากเพียงใด
ท่านก็สูไม่มีถอย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย
ในที่สุดความอุตสาหะ พากเพียร ฝึกฝนจิตของท่าน
ในที่สุดความอุตสาหะ พากเพียร ฝึกฝนจิตของท่าน
ก็ตัดสินกันลงได้ระหว่างกิเลสกับธรรม จนหมดสงสัย
จากนั้นท่านจึงได้นำธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ออกเผยแพร่
โดยเน้นสงเคราะห์ทางด้านจิตใจ
ในขณะเดียวกัน ท่านได้ให้ความเมตตาสงเคราะห์โลก
ตั้งแต่พุทธศักราช 2499 เป็นต้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น